[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by MAXSITE 2.5.3
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
เมนูหลัก
ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 5 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน
ฝากข้อความ
    ชื่อ :
    ข้อความ (ตัวแสดงอารมณ์)
    poll

       คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


    1. ดีมาก
    2. ดี
    3. ปานกลาง
    4. แย่
    5. แย่มาก




      

       เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
    อุจจาระปนเลือด  VIEW : 447    
    โดย ดร. ศิรพงศ์ รักต์เธียรธรรม

    UID : ไม่มีข้อมูล
    โพสแล้ว : 31
    ตอบแล้ว :
    เพศ :
    ระดับ : 4
    Exp : 50%
    เข้าระบบ :
    ออฟไลน์ :
    IP : 171.96.191.xxx

     
    เมื่อ : จันทร์ ที่ 14 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2560 เวลา 00:25:01    ปักหมุดและแบ่งปัน

    อุจจาระปนเลือด
     
    ปวดประจำเดือน, ปวดท้องประจำเดือน, เจ็บท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ (Dysmenorrhea) คือ อาการปวดท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกรานในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตามรอบของการมีประจำเดือน (โดยปกติจะห่างกันทุก 28 วัน แต่บางคนก็มาเร็วหรือช้ากว่านี้) การปวดประจำเดือนนี้ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงวัยมีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดไม่มากและยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่มีส่วนน้อยที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน โดยอาการปวดประจำเดือนนั้นแบ่งออกได้เป็น ชนิดปฐมภูมิ (ไม่ทราบสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนมาก กับชนิดทุติยภูมิ (มีสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อย
     
    ในช่วงหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่มีประจำเดือน มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากที่ไม่มีอาการปวดประจำเดือนเลยซึ่งนับว่าเป็นโชคดีมาก เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่โดยเฉพาะวัยรุ่นจำนวนมากถึง 90% จะมีอาการปวดประจำเดือนมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป และมีผู้หญิงอีกประมาณ 5-10% ที่จะมีอาการปวดประจำเดือนมากจนทำให้ต้องพักงานหรือขาดเรียนอยู่เสมอในช่วงที่มีประจำเดือน ทำให้เสียโอกาสในการทำงานและการเรียนรู้ และยังอาจมีผลกระทบต่อจิตใจหรือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวซึ่งประเมินเป็นมูลค่าทางการเงินไม่ได้อีกด้วย
     
    จากการศึกษาพบว่า อายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12 ปี 7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือจะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนเด็กทางภาคใต้จะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่น ๆ โดยช่วง 1-2 ปีแรกที่เริ่มมีประจำเดือน จะมาแบบไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากการทำงานของรังไข่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ จึงทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ
     
    สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน
    เมื่อมีอาการปวดประจำเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการปกติของการมีประจำเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงและก็มีที่ไม่จริงบ้าง โดยทั่วไปอาการปวดประจำเดือนจะเกิดจากมดลูกหดรัดตัวทำให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย แต่หากมีอาการปวดมากจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำให้ต้องพักงาน แบบนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป เพราะสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นมีหลายสาเหตุ ซึ่งการรักษาบางครั้งอาจต้องถึงขั้นผ่าตัดเลยทีเดียว
     
    สาเหตุของการปวดประจำเดือนจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
     
    ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจไม่พบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อยที่ชัดเจน โดยจะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ในปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการมีประจำเดือน และมาจากการมีสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกมากผิดปกติ และสารชนิดนี้จะดูดซึมผ่านกระแสเลือดและมาออกฤทธิ์ที่มดลูก จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมินี้มักพบได้ในเด็กสาวหรือผู้หญิงวัยรุ่น ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายในช่วง 2-3 ปีหลังจากการมีประจำเดือนครั้งแรก โดยจะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้ไปอาการจะค่อย ๆ ลดลง บางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการมีลูกแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
    ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจพบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย ลักษณะการปวดจะมีอาการปวดก่อนมีเลือดประจำเดือนมาและยังปวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมินี้ มักเกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น
    การมีเนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะในโพรงมดลูก มดลูกจึงมีการบีบตัวเพื่อขจัดสิ่งขัดขวางการหดรัดตัวในโพรงมดลูกออก จึงทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ
    เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกต่างที่ (Endometriosis) โดยเยื่อโพรงบุมดลูกจะหลุดออกมาจากท่อรังไข่ย้อนเข้ามาเจริญที่เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือลำไส้ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายที่หลั่งออกมาจากรังไข่เช่นเดียวกับเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นในขณะที่มีประจำเดือนจะทำให้มีเลือดออกในช่องท้องด้วย จึงทำให้เกิดการระคายเคืองที่เยื่อบุช่องท้อง ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งในรายที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ มักมาจากสาเหตุนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีบุตรยาก
    การมีพังผืดในช่องท้อง (Pelvic adhesion) พังผืดเกิดจากการผ่าตัดครั้งก่อน หรือจากการที่เคยมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานมาก่อน (ที่ไม่ใช่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่) จะทำให้เกิดการดึงรั้งของพังผืดกับเยื่อบุช่องท้องหรือเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ส่วนมากผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังมากกว่าที่จะปวดตามรอบของประจำเดือน
    การใส่ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device birth control) จะทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน เนื่องจากร่างกายพยายามบีบตัวเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป
    อุจจาระปนเลือด
    HonestDocs
     [url]https://www.honestdocs.co/stool-blood-signal[/url]
     
     [url]www.honestdocs.co[/url]